ความจุของแบตเตอรี่

     ความจุของแบตเตอรี่รถยนต์นั้น  คือตัวกำหนดว่าแบตเตอรี่ในแต่ละลูกนั้นมีความสามารถในการจ่ายกระแสไฟได้เป็นอย่างไร  โดยจะบอกอัตราการการจ่ายกระแสไฟของแบตเตอรี่ลูกนั้นๆมีหน่วยเป็นต่อชั่วโมง เช่น 35 แอมป์ต่อชั่วโมง, 60 แอมป์ต่อชั่วโมง หรือ 200 แอมป์ต่อชั่วโมง โดยจะมีการเทียบอัตราส่วนภายใน 20 ชั่วโมง เช่น แบตเตอรี่ที่มีความจุ 200 แอมป์ต่อชั่วโมง จะมีความสามารถจ่ายกระแสไฟได้สูงสุด 5 แอมป์ เป็นเวลานาน 40 ชั่วโมงเป็นต้น

     ค่าความจุของแบตเตอรี่รถยนต์นั้นจะแปรผันไปตามอุณหภูมิ ตัวอย่างเช่น แบตเตอรี่ที่มีค่าความจุ 100 แอมป์ต่อชั่วโมง ที่อุณหภูมิ 25 ํซ. เมื่ออุณหภูมิลดลงเหลือ 0 ํซ. แบตเตอรี่ก็จะเหลือค่าความจุ 90 แอมป์ต่อชั่วโมง และเมืออุณหภูมิลดลงถึง  -15 ํซ.  แบตเตอรี่ก็จะเหลือค่าความจุเพียง 70 แอมป์ต่อชั่วโมง นี่จึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้การสตาร์ทเครื่องยนต์ติดยากในพื้นที่ที่มีอุณหภูมิเย็นจัด

     แบตเตอรี่รถยนต์ที่มีความจุอยู่เต็มนั้นหากเราทิ้งไว้โดยไม่มีการใช้งาน มันก็จะมีการคายประจุออกเองได้ เนื่องจากเกิดปฎิกิริยาทางเคมีที่เกิดขึ้นภายในอย่างช้าๆ ซึ่งเราเรียกว่า "การคายประจุโดยตัวเอง" (Self discharging) ปฎิกิริยาการคายประจุโดยตัวเองนี้ จะทำให้แบตเตอรี่สูญเสียพลังงานไปวันละประมาณ 0.5% ที่อุณหภูมิ 25 ํ ซ. และวันละประมาณ 1% ที่อุณหภูมิ 30 ํ ซ. ดังนั้นจึงควรนำแบตเตอรี่ที่ไม่มีการใช้งานไปทำการประจุไฟใหม่ทุก 2 สับดาห์ เพื่อให้แบตเตอรี่มีประจุเต็มอยู่เสมอ และเพื่อป้องกันการเกาะตัวของเกลือกำมะถันที่จะไปจับกับแผ่นตะกั่ว ซึ่งจะทำให้ประสิทธิของแบตเตอรี่ลูกนั้นลดลง และเป็นการยากที่จะแก้ไขให้กลับคืนสู่สภาพเดิมได้ ดั่งนั้นรถยนต์ที่ไม่ได้ใช้งานนานๆ การถอดขั่วแบตเตอรี่ออก ไม่ได้เป็นการแก้ปัญหาเรื่องแบตเตอรี่ไฟหมดนะครับ